รู้จัก GPT-3 โมเดลแสนฉลาดที่อาจมาแย่งงานนักการตลาดในอนาคต

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เชื่อว่าหลายคนที่ติดตามข่าวสารในแวดวงเทคโนโลยี ธุรกิจ และดิจิทัล คงจะเคยได้ยินเรื่องของ AI หรือปัญญาประดิษฐ์กันมาบ้าง ทั้งในมุมที่ AI จะเข้ามาช่วยเหลือเราด้านการใช้ชีวิต และด้านการทำงานให้สะดวกสบายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น รวมถึงมุมที่ AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ ตลอดจนคำถามที่ว่า ในอนาคต AI จะเข้ามาแทนที่มนุษย์หรือไม่

เมื่อปลายปี 2019 มีข่าวสะเทือนวงการเทคโนโลยีว่า บริษัท OpenAI ได้สร้างโมเดล AI ด้านการประมวลภาษา (Neuro-Linguistic Programing: NLP) ชื่อว่า GPT-2 ซึ่งทำงานได้ดีมาก ดีจนน่ากลัวว่าอาจจะมาแย่งงานมนุษย์ในอนาคตได้จริง ๆ ไม่กี่ปีหลังจากนั้น บริษัทก็ได้ปล่อยโมเดลรุ่นใหม่ที่ถูกพัฒนาให้ฉลาดและใหญ่กว่าเดิม ในชื่อว่า GPT-3 ซึ่งไม่ต้องคาดเดาเลยว่าจะฉลาดแค่ไหน เพราะโมเดล GPT-3 นี้ได้รับการยกย่องว่าทำงานได้ดีเทียบเท่ามนุษย์เลยทีเดียว

แล้วเช่นนี้ GPT-3 จะส่งผลอย่างไรต่อการทำงานของเรา รวมถึงคำถามที่ว่า ในอนาคตอาจจะมาแย่งงานมนุษย์ด้วยนั้นจริงเท็จแค่ไหน บทความนี้จะพาไปหาคำตอบกัน!

OpenAI คืออะไร

GPT-3 คืออะไร

ก่อนจะไปทำความเข้าใจฟังก์ชันการทำงานและอื่น ๆ เรามาดูกันก่อนว่า GPT-3 คืออะไร

3rd Generation Generative Pre-trained Transformer หรือ GPT-3 คือ ระบบโครงข่ายประสาทเทียม (Neural Network) ขนาดยักษ์ที่เกี่ยวกับการประมวลผลภาษา ถือเป็นโมเดลภาษาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยจำนวนพารามิเตอร์ในโมเดลที่สูงถึง 1.75 แสนล้านตัว

จุดเด่นของ GPT-3 คือ การเข้าใจประโยคต่าง ๆ ที่ได้รับมาราวกับเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งเหล่านักพัฒนาได้ใช้งานโมเดลภาษาตัวนี้ผ่านกระบวนการทดลองหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการตอบคำถามความรู้รอบตัวในสาขาต่าง ๆ การเขียนบทกลอนภาษาอังกฤษด้วยแนวทางการประพันธ์แบบนักเขียนบทละครชื่อดังอย่าง “Shakespeare” หรือการวาดภาพจากข้อความที่ใส่ไว้ GPT-3 ก็สามารถทำได้เช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อต้นปี 2021 SEMrush ยังได้เขียนบทความ “GPT-3: How Will This Impact SEO and Content Marketing?” ที่เนื้อหาหลักของบทความมุ่งไปที่ประเด็นของ GPT-3 ที่จะเข้ามาส่งผลกระทบต่อคนทำ SEO และ Content Marketing ด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า GPT-3 มีความเข้าใจภาษาของมนุษย์มากถึงขนาดที่ว่าสามารถเขียนคอนเทนต์ SEO ได้เลยทีเดียว!

 

GPT-3 ทำงานอย่างไร

GPT-3 คือโมเดลภาษาที่ทำหน้าที่คาดเดาคำต่อจากข้อความที่กำหนดให้ โดยข้อความที่ใส่เข้าไปสามารถเป็นได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการต่อเติมบทความให้เต็มจากประโยคเริ่มต้นที่กำหนดให้ การตอบคำถามต่าง ๆ หรือแม้แต่การแปลภาษาก็ตาม

ในการสร้างโมเดล GPT-3 นั้น ทีมพัฒนาได้มีการผสมผสานระหว่างการเรียนรู้แบบ Supervised Learning และ Unsupervised Learning เข้าด้วยกัน โดยจะเริ่มต้นจากการเรียนรู้ของ Unsupervised Learning ผ่านข้อมูลในรูปแบบของข้อความจำนวนมากลงไปบน Neural Network ในการเทรนภาษาที่ได้รับความนิยมอย่าง Transformer ก่อน จากนั้น จึงค่อยทำการเรียนรู้แบบ Supervised Learning ด้วยการใช้เทคนิคการเทรนที่ทางโมเดลจะได้รับโจทย์บางอย่าง เช่น ให้แบ่งแยกระหว่างสุนัขกับแมว โดยโมเดลจะได้รับชุดข้อมูลการเทรนในจำนวนที่จำกัด ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งไม่มีชุดข้อมูลเลย (Zero Shot) มีชุดข้อมูลสุนัขและแมวอยู่หนึ่งชุด (One Shot) หรือมีชุดข้อมูลดังกล่าวมากกว่าหนึ่งชุด (Few Shots) ก่อนจะทำการตรวจสอบผลและปรับจูนน้ำหนักของแต่ละพารามิเตอร์ในโมเดลต่อไป

ในกรณีข้างต้น โมเดลจะทำการเทรนโดยการรับคำสั่งที่เป็นข้อความทั้งหมดมา และจะได้รับคำตอบมาเป็นจำนวนมากและหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ไม่ได้รับตัวอย่างเลย (Zero Shot) ได้รับมาแค่หนึ่งตัวอย่าง (One Shot) หรือได้รับมามากกว่าหนึ่งตัวอย่าง (Few Shots) เช่นกัน

ทั้งนี้ สิ่งมหัศจรรย์ของ GPT-3 คือ การตอบคำถามที่ไม่ยึดติดกับรูปแบบตายตัวเหมือนการเทรนของ Supervised Learning ที่จะคาดหวังให้โมเดลตอบคำถามตรงตามแบบฟอร์ม เช่น การเทรนเพื่อแยกแยะระหว่างรูปแมวกับรูปสุนัข แล้วโมเดลจะตอบได้เพียงว่ารูปที่ใส่เข้าไปเป็นรูปแมวหรือรูปสุนัขเท่านั้น เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้น GPT-3 ยังสามารถทำการส่งข้อมูลออกมาได้หลากหลายมาก เช่น การต่อข้อความจากประโยคแล้วนำมาเรียงร้อยกันเป็นบทความ ซึ่งในส่วนนี้ ทำให้เป็นที่กังวลในวงการนักเขียนเช่นกันว่า GPT-3 จะมีความสามารถด้านการเขียนได้เท่ามนุษย์ และจะมาแย่งงานเราในอนาคตหรือไม่

 

GPT-3 กับการเขียนคอนเทนต์ SEO

ต้องบอกว่า GPT-3 คืออีกหนึ่ง AI Writer ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก เพราะโมเดลตัวนี้สามารถเขียนบทความได้เทียบเท่ามนุษย์ หรือบางทีอาจดีกว่ามนุษย์ด้วยซ้ำ

AI Writer คือ ปัญญาประดิษฐ์ที่ใส่เข้าไปในซอฟต์แวร์ที่ถูกสร้างให้มีความฉลาดด้านการเขียน อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : AI WRITER คืออะไร? จะมาแทนที่มนุษย์ในการเขียนคอนเทนต์จริงไหม?

กล่าวง่าย ๆ ได้ว่า GPT-3 คือโมเดลภาษาที่ถูกพัฒนามาแล้ว 3 เวอร์ชัน ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าสามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ในระดับที่มนุษย์ไม่สามารถแยกแยะได้เลยว่ากำลังสื่อสารอยู่กับ AI หรือมนุษย์ด้วยกันจริง ๆ และแน่นอนว่า ความสามารถระดับนี้ย่อมทำให้การเขียนคอนเทนต์ SEO เป็นเรื่องง่ายดายสำหรับ GPT-3 เพราะเพียงแค่เราให้ข้อมูลเพียงไม่กี่ย่อหน้า โมเดลก็สามารถเขียนบทความยาว ๆ ออกมาได้อย่างมีคุณภาพ โดยหน้าที่ของเรามีเพียงแค่กด “คัดลอก” และ “วาง” บนหน้าเว็บไซต์ให้ผู้ใช้งานได้อ่านกันเท่านั้น หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า GPT-3 ก็คือนักเขียนระดับมืออาชีพที่มีข้อมูลทั้งอินเทอร์เน็ตอยู่ในหัวนั่นเอง

ส่วนที่หลายคนกำลังกังวลว่า หากเป็นเช่นนี้ ในอนาคตคนทำคอนเทนต์ SEO จะมีโอกาสตกงานเพราะโมเดลตัวนี้หรือไม่ แม้คำถามนี้จะยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัด แต่เราก็ควรตระหนักไว้เสียหน่อย เพราะต่อให้บางคนจะบอกว่า ถึงอย่างไร AI ก็ไม่สามารถทำงานเชิงความคิดสร้างสรรค์ได้เท่ากับมนุษย์ แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าในอนาคต AI จะทำเช่นนั้นไม่ได้ และอีกประการหนึ่งคือ งานเขียนที่ไม่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ก็มีมาก เช่น สเป็กสินค้า รายละเอียดสินค้าบนหน้าเว็บไซต์ ฯลฯ เป็นต้น ดังนั้น เราอาจต้องยอมรับไว้ก่อนล่วงหน้าว่า ไม่ช้าก็เร็ว GPT-3 จะต้องถูกนำมาใช้งานอย่างจริงจังด้านงานเขียนอย่างแน่นอน

 

GPT-3 จะส่งผลดีหรือเสียต่อ SEO

เมื่อเรารู้กันแล้วว่า GPT-3 อาจเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในงานด้านคอนเทนต์ SEO ในอนาคต คำถามที่ตามมาคือ หากเราใช้ GPT-3 เป็นเครื่องมือในการสร้างคอนเทนต์ จะส่งผลดีต่อ SEO จริงหรือไม่ หรือจะก่อให้เกิดผลเสียกันแน่ 

ก่อนอื่น ต้องบอกว่าการใช้ AI เขียนคอนเทนต์นั้น จะต้องเกิดปัญหา Duplicated Content หรือคอนเทนต์ซ้ำซ้อนตามมาแน่นอน ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ 100% แต่ลองคิดดูว่า หากทุกคนบอกให้ AI เขียนบทความเรื่อง “SEO คืออะไร” หรือ “Digital Marketing คืออะไร” คำตอบก็จะเป็นไปในทิศทางเดียวกันหมด และแน่นอนว่าการคัดลอกเนื้อหาก็คงจะไม่ดีต่อการทำ SEO แน่ ๆ เพราะตามหลัก E-A-T ของ Google ที่มีผลต่ออันดับเว็บไซต์นั้น ให้ความสำคัญกับ “ความเป็นต้นฉบับ” ของเนื้อหาเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ จอห์น มุลเลอร์ Search Advocate ของ Google ยังพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า เนื้อหาที่เขียนโดย AI นั้นเป็นเนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้นโดยอัตโนมัติ ซึ่งขัดต่อหลักเกณฑ์ SEO เพราะอัลกอริทึมจะมองว่าเป็นสแปม ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีประกาศแน่ชัดว่า Google สามารถตรวจจับคอนเทนต์ที่เขียนโดย GPT-3 ได้ แต่หากทีมงานตรวจสอบพบเมื่อไร เว็บไซต์นั้นจะต้องถูกแบนทันที ดังนั้น การเขียนคอนเทนต์ SEO ด้วยตนเองจึงยังปลอดภัยต่ออันดับเว็บไซต์กว่าการใช้ AI อย่างไม่ต้องสงสัย

 

สรุป

ดังนั้น จึงบอกได้ว่า GPT-3 กับการเขียนคอนเทนต์ SEO ในอนาคตนั้น “มาแน่” เพียงแต่จะเกิดขึ้นเมื่อไรเท่านั้นเอง ยิ่งในยุคที่เทคโนโลยีและดิจิทัลพัฒนาขึ้นทุกวันเช่นนี้ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะสร้าง AI ให้ฉลาดเทียบเท่ามนุษย์หรือทำงานแทนมนุษย์ได้หลากหลายด้านมากขึ้น ส่งผลให้นักการตลาด โดยเฉพาะคนทำ SEO ควรศึกษา ทำความเข้าใจ และทดลองใช้โมเดลดังกล่าวเพื่อความคุ้นชิน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า GPT-3 จะสามารถเขียนคอนเทนต์ SEO ได้ดีแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ยังขาดไปก็คือ “จิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์” ที่สื่อออกมาผ่านตัวหนังสือ ฉะนั้น ต่อให้เราใช้ GPT-3 เขียนคอนเทนต์ แต่ถ้าหากต้องการให้คอนเทนต์ออกมามีคุณภาพจริง ๆ ก็ต้องมีการปรับแก้เนื้อหาให้มีความเป็นธรรมชาติเหมือนมนุษย์เป็นคนเขียนมากขึ้นอยู่ดี

ที่สำคัญ GPT-3 สามารถทำงานได้ดีในภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษากลางของโลก แต่คงนับว่าโชคดีที่ภาษาไทยของเราค่อนข้างมีความซับซ้อน และน่าปวดหัวไม่น้อยสำหรับ AI แม้ว่าโมเดลนั้น ๆ จะถูกเคลมว่ารับรองทุกภาษาก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับหุ่นยนต์ตัวหนึ่งอยู่ดีที่จะเขียนภาษาไทยออกมาได้เนียนเหมือนมนุษย์เขียนจริง ๆ

ทั้งนี้ การใช้ AI เข้ามาช่วยในการทำการตลาด ถือเป็นเทคนิคที่ทันสมัย รับกับโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปได้เป็นอย่างดี ทว่าก็ต้องใช้งบประมาณสูง จึงอาจไม่เหมาะสมกับธุรกิจที่มีงบจำกัด จะง่ายกว่าหรือไม่ ถ้าหากเรามีเอเจนซีการตลาดคอยช่วยวางแผนเกี่ยวกับการทำ Content Marketing ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการตลาดยุคนี้ เพื่อที่จะได้ประหยัดเวลาและไปโฟกัสกับส่วนอื่น ๆ ได้มากขึ้น โดย Primal Digital Agency เอเจนซีรับทำ SEO พร้อมช่วยให้ผู้ประกอบการทุกรายได้รับผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่ไม่เหมือนใคร!