กลยุทธ์ Holistic Search คืออะไร ช่วยเรื่อง SEO อย่างไร?

นักการตลาดหลายคนอาจยังไม่รู้ว่า ราว ๆ 27% ของจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ทั้งหมด (Traffic) มาจากการที่เราจะจ่ายเงินซื้อพื้นที่โฆษณาบน Search Engine หรือที่เรียกว่า “Paid Search” และอีกประมาณ 53% มาจากการค้นหาแบบทั่วไป หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ยอดออร์แกนิก (Organic Search)” แต่จะเป็นอย่างไร หากเรารู้จักวิธีวางกลยุทธ์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก และตั้งเป้าหมายของการค้นหาทั้งสองรูปแบบให้มีประสิทธิภาพไปพร้อม ๆ กัน?

เป็นไปได้ว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่อาจยังคิดไม่ถึงส่วนนี้ แต่ความจริงแล้ว การที่เราใช้ข้อมูลจาก Paid Search อย่างเดียวก็อาจทำให้วันหนึ่งเมื่อเราเลิกทำการโฆษณาแล้ว ผู้ใช้งานก็จะหาเว็บไซต์ของเราไม่เจออีกต่อไป ในทางกลับกัน หากเราใช้ข้อมูลจากฝั่งออร์แกนิกอย่างเดียว ก็อาจทำให้เราเป็นรองเว็บไซต์ที่ซื้อพื้นที่โฆษณาเพื่อโปรโมตธุรกิจได้ ดังนั้น บทความนี้จะมาแนะนำให้รู้จักกับกลยุทธ์ “Holistic Search” หรือการค้นหาแบบองค์รวม อันเป็นหัวใจสำคัญของ Search Engine ที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่าทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม เพราะเป็นการผสมผสานระหว่างการค้นหาทั้งสองแบบ ได้แก่ PPC และ SEO เอาไว้ด้วยกันนั่นเอง

Holistic Search ช่วยเรื่อง SEO อย่างไร

Holistic Search คืออะไร?

ก่อนอื่น ต้องบอกก่อนว่าการทำ SEO และ PPC นั้นเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ SEM (Search Engine Marketing) เหมือนกัน แต่การทำงานแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่การจัดการงบประมาณ การวัดค่า KPIs และข้อมูลเชิงลึกในการทำการตลาด แต่ Holistic Search จะช่วยให้ทั้งสองส่วนนี้สามารถรวมเข้าด้วยกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ

Holistic Search คือ กลยุทธ์การค้นหาแบบองค์รวมที่รวบรวมข้อมูลเชิงลึกจากทั้งช่องทางการค้นหาแบบออร์แกนิกและแบบ Paid Search เพื่อนำมาพัฒนาให้เว็บไซต์ของเรามีคุณภาพมากยิ่งขึ้น และเพิ่มโอกาสในการปรากฏบนหน้าแรกของการค้นหา อันจะนำมาซึ่งยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์และยอดขายที่มากกว่าเดิม

 

ทำไมต้องใช้กลยุทธ์ Holistic Search?

การสร้างกลยุทธ์การค้นหาแบบองค์รวมอาจฟังดูเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและต้องทำวิจัยตลาดหลายขั้นตอน แต่หากเรายอมสละเวลาเสียหน่อย ธุรกิจของเราก็จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยปกติแล้ว ถ้าเราซื้อพื้นที่โฆษณาให้แก่เว็บไซต์ของตนเองอยู่เสมอ เวลาที่เราหาคีย์เวิร์ดเพื่อนำมาเขียนบทความ หรือที่เรียกว่าการทำ Keyword Research เราก็จะหาข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างเว็บไซต์ที่เป็น PPC ด้วยกันเอง เพื่อดูว่าการแข่งขันคีย์เวิร์ด ณ ขณะนั้นเป็นอย่างไร และควรจะทำอย่างไรให้ดีกว่าเว็บไซต์คู่แข่ง ซึ่งการทำในส่วนนี้ก็ถือว่าถูกต้อง แต่เคยคิดหรือไม่ว่า หากวันหนึ่งโฆษณาของเราหมดไป คีย์เวิร์ดนั้นจะยังมีประสิทธิภาพเท่าเดิมอยู่หรือไม่? หรือแม้กระทั่งว่า ผู้ใช้งานจะยังหาเราเจอเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า?

แน่นอนว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้ที่เว็บไซต์ของเราจะหายไปจากหน้าการค้นหาทันทีที่โฆษณาหมด เพราะคนทำ SEO นั้นมีจำนวนมากและเกิดขึ้นใหม่ทุกวัน ส่งผลให้การแข่งขันของเหล่าเว็บไซต์ที่จะขึ้นมาอยู่บนหน้าแรกของ Google นั้นสูงมาก กลยุทธ์ Holistic Search จึงจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาในส่วนนี้ กล่าวคือ เวลาที่เราทำ Keyword Research การค้นหาแบบองค์รวมจะช่วยให้เรารู้คีย์เวิร์ดที่เป็นที่นิยมทั้งในส่วนของ PPC และ SEO ซึ่งหากเราหันมาดูคีย์เวิร์ดทางฝั่ง SEO เราก็อาจได้คีย์เวิร์ดในต้นทุนที่ถูกกว่า ทำให้ได้กำไรเพิ่มขึ้นด้วย อีกทั้งเมื่อโฆษณาของเราหมดอายุแล้ว เว็บไซต์ของเราก็ยังมีโอกาสปรากฏอยู่บนหน้าแรกต่อไป เนื่องจากเราใช้ข้อมูลจากทั้งสองฝั่ง ไม่ใช่แค่ฝั่งใดฝั่งหนึ่งนั่นเอง

ในทางตรงกันข้าม หากเราเป็นธุรกิจเล็ก ๆ ที่ไม่เคยซื้อพื้นที่โฆษณาให้เว็บไซต์ของตนเองมาก่อนเลย เวลาหาข้อมูลเพื่อนำมาเขียนบทความก็เลยไม่รู้ว่าจะสนใจข้อมูลในส่วนของ PPC ไปทำไม แต่หารู้ไม่ว่า แม้เราไม่ได้ทำ PPC แต่การดูข้อมูลส่วนดังกล่าวเอาไว้ก็มีความสำคัญ เพราะจะยิ่งทำให้การทำ Keyword Research ของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยหากเราดูแต่เพียงคีย์เวิร์ดจากฝั่งออร์แกนิกอย่างเดียวแล้วนำมาเขียน ในบางครั้งก็อาจทำให้เราเป็นรองเว็บไซต์อื่น ๆ ที่ทำ PPC เพราะเว็บไซต์ที่ซื้อพื้นที่โฆษณาจะได้อยู่บนลำดับแรก ๆ ของหน้าการค้นหาอยู่เสมอ และถ้าหากว่ามีเว็บไซต์ที่ซื้อพื้นที่โฆษณาแล้วใช้คีย์เวิร์ดเดียวกับเราเป็นจำนวนมาก เราก็มีโอกาสตกไปอยู่ลำดับท้าย ๆ ได้เลยทีเดียว นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องใช้กลยุทธ์ Holistic Search เพื่อดูข้อมูลจากทั้งสองฝั่ง

 

ประโยชน์ของกลยุทธ์ Holistic Search คืออะไร?

ทำให้การวางคีย์เวิร์ด (Keyword Planning) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

จุดเด่นของกลยุทธ์การค้นหาแบบองค์รวมคือ การแสดงผลวิเคราะห์คีย์เวิร์ดและข้อมูลเชิงลึกของการค้นหาทั้งแบบ PPC และ SEO ซึ่งจะช่วยให้เราเห็นถึงความนิยมของแต่ละคีย์เวิร์ด รวมไปถึงข้อมูลประชากร ปริมาณการค้นหา อัตราการแข่งขัน และราคาต่อคลิก (Cost Per Click: CPC) โดยทั้งหมดนี้ล้วนเป็นข้อมูลที่จำเป็นต่อการทำ SEO และ SEM ทั้งสิ้น เพราะเราจะได้รู้ว่าควรเขียนบทความออกมาในลักษณะใด และใช้คีย์เวิร์ดไหนจึงจะดีและคุ้มค่าที่สุด

สามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของหน้าจอรวมผลการสืบค้น (Search Engine Results Page: SERP) ได้แบบเรียลไทม์

อย่างที่เรารู้กันว่าอัลกอริทึมของ Google นั้นมีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน ในฐานะนักการตลาดออนไลน์ เราจึงจำเป็นต้องตามสิ่งเหล่านี้ให้ทันอยู่เสมอ แต่หากมองในความเป็นจริงแล้วก็คงจะเป็นการยากที่เราจะมาติดตามอัลกอริทึมที่เปลี่ยนไปแทบจะตลอดเวลา ดังนั้น สิ่งที่เราทำได้และน่าจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดก็คือ การติดตาม “คีย์เวิร์ด” ซึ่ง Holistic Search สามารถช่วยแสดงความผันผวนของคีย์เวิร์ดในแต่ละช่วงเวลาได้ ทำให้เราไม่พลาดทุกการอัปเดตที่เปลี่ยนไปของ Google

ช่วยให้ประหยัดต้นทุนมากขึ้น

ปัจจุบันนี้ การแข่งขันในวงการ SEO และ SERP มีลักษณะเป็นพลวัตมาก กล่าวคือ เปลี่ยนแปลงไปมาแทบจะทุกวินาที ดังนั้น ทุกรอบที่เราทำวิจัยตลาดก็มักจะพบความแตกต่างอยู่เสมอ ซึ่งถ้าหากว่าเราพลาดลงทุนไปกับสิ่งที่ไม่คุ้มค่า ธุรกิจของเราก็จะขาดโอกาสในการได้กำไรไปทันที กลยุทธ์การค้นหาแบบองค์รวมจึงถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้เราจัดการงบประมาณในการทำเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ด้วยการแสดงข้อมูลจากทั้งฝั่ง PPC และ SEO ให้เราได้พิจารณา และเลือกต้นทุนที่เหมาะสมกับธุรกิจของตนเองมากที่สุด ส่วนมากแล้ว คีย์เวิร์ดฝั่ง SEO มักจะมีต้นทุนต่ำกว่าฝั่ง PPC โดยหากเราวิเคราะห์ดูแล้วพบว่าเหมาะแก่การนำมาใช้ ก็จะทำให้การจัดการงบประมาณของเรามีความสมเหตุสมผลมากขึ้น

ช่วยเพิ่มยอดคลิก (Click Rate) และยอดขาย (Conversion Rate) ให้มากกว่าเดิม

เมื่อเราใช้กลยุทธ์ Holistic Search เว็บไซต์ของเราก็จะสามารถติดอันดับบนหน้าแรกของ Google ได้อย่างง่ายดาย โดยที่ไม่เป็นรองเว็บไซต์ไหน ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ที่ซื้อหรือไม่ได้ซื้อพื้นที่โฆษณาก็ตาม ดังนั้น เว็บไซต์ของเราก็จะมียอดคลิกเพิ่มมากขึ้น เพราะเมื่อใดที่ลูกค้าค้นหาคีย์เวิร์ดหลักที่เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของแบรนด์เรา ก็จะเจอเว็บไซต์ของเราเป็นอันดับแรก ๆ อันจะนำมาสู่ยอดขายที่ดีกว่าเดิม

ช่วยลดความเสี่ยง

แน่นอนว่า ไม่ว่าจะการทำ PPC หรือ SEO ก็ย่อมมีความเสี่ยงในรูปแบบที่แตกต่างกันทั้งสิ้น เช่น หากเราทำ SEO เราก็จะต้องเผชิญกับความท้าทายที่มาในรูปแบบของการอัปเดตอัลกอริทึม ซึ่งหากระบบเปลี่ยนไป ก็อาจส่งผลให้อันดับเว็บไซต์ของเราเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย หากอันดับขึ้นก็ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ส่วนใหญ่มักไม่เป็นเช่นนั้น หรือความท้าทายอื่น ๆ เช่น บางคีย์เวิร์ดก็อาจต้องใช้เวลานานเกินควรในการไต่อันดับขึ้นไปอยู่สูง ๆ

ซึ่งถ้าหากเจอปัญหาเหล่านี้ เราก็สามารถแก้ด้วยการซื้อพื้นที่โฆษณา เพื่อให้เว็บไซต์ของเราขึ้นมาอยู่บนอันดับแรก ๆ ของหน้าการค้นหาโดยที่ไม่ต้องลงแรงอะไรมาก และทำให้คนคลิกเข้ามาที่เว็บไซต์มากขึ้นได้ แต่ในทางกลับกัน การซื้อพื้นที่โฆษณาก็อาจไม่คุ้มค่าสำหรับบางธุรกิจ เพราะคีย์เวิร์ดบางคำก็มีค่า CPC สูงเกินไป ทางออกจึงสามารถทำได้ด้วยการใช้คีย์เวิร์ดจากฝั่งออร์แกนิกแทนเพื่อลดความเสี่ยงที่จะขาดทุน และกลยุทธ์ Holistic Search ก็ตอบโจทย์การแก้ปัญหาเหล่านี้เป็นอย่างมาก

 

สรุป

ถึงแม้ว่ากระบวนการทำ PPC และ SEO นั้นจะแตกต่างกัน แต่ก็มีเป้าหมายเดียวกันคือ การสร้างโอกาสให้แบรนด์ถูกมองเห็นในวงกว้างมากขึ้น ด้วยการขึ้นไปอยู่อันดับสูง ๆ บนหน้าแรกของการค้นหา ซึ่งธุรกิจไหนจะเลือกใช้แบบใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกและความเหมาะสมในหลาย ๆ ด้าน แต่จะดีกว่าหรือไม่ถ้าหากเราสามารถผนวกทั้งสองรูปแบบเข้าด้วยกัน เพื่อให้เว็บไซต์ของเรามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และทั้งหมดนี้ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมกลยุทธ์ Holistic Search จึงมีความจำเป็นต่อการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อนำมาทำ SEO และ SEM ให้เกิดผลลัพธ์สูงสุดต่อธุรกิจของเรา